ทำความรู้จัก โต๊ะครู-ปอเนาะ
โต๊ะครู หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า โต๊ะฆูรู (Tok Guru) ในภาษามลายู ตรงกับภาษาอาหรับว่า อูลามาอฺ (ผู้รู้หรือปราชญ์) ในประวัติศาสตร์สามจังหวัดภาคใต้มีโต๊ะครูที่มีความรู้มากมายหลายท่าน เช่น โต๊ะครูปอเนาะดาลอ โต๊ะครูอัลมัรฮูมมาฮมูด บินมูฮัมมัดอามีน ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งปอเนาะวะอซุฏดีน (รอตันบาตู นราธิวาส)
โต๊ะครู มาจากคำว่า ดาโต๊ะ แปลว่า ผู้เฒ่าหรือคนแก่นั่นเอง เมื่อนำมารวมกับคำว่า ครู (คุณครู) แปลว่า ผู้สอน ดังนั้น โต๊ะครู จึงหมายถึง ครูอิสลามที่สอนอยู่ที่ปอเนาะ และคำว่า ดาโต๊ะ นอกจากแปลว่าคนเฒ่า คนแก่แล้ว ยังหมายถึงฐานันดรของข้าราชการด้วย (พจนานุกรม ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร)
ปอเนาะ เป็นสถาบันเผยแผ่ศาสนาอิสลามในภาคใต้ ตามหลักการของอิสลามถือว่ามุสลิมทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องศึกษาและเผยแผ่ศาสนาของตน ผู้ใดที่มีความรู้ แต่ไม่ยอมเผยแพร่ให้แก่ผู้อื่นถือว่าเป็นบาป ดังนั้น การเรียนการสอนศาสนาจึงตกเป็นภาระหน้าที่ของผู้นำครอบครัวต้องจัดให้บุตรหลานของตนได้รับการศึกษาวิชาศาสนาตั้งแต่อยู่ในวัยเยาว์เริ่มตั้งแต่บ้านหรือสำนักสอนศาสนาของผู้ทรงคุณวุฒิในหมู่บ้าน(เช่น โต๊ะอีหม่าม)ไปจนถึงปอเนาะสถาบันการเรียนการสอนศาสนาชั้นสูงซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือของสังคมมุสลิมในภาคใต้มาแต่อดีต
ปอเนาะ มาจากภาษาอาหรับว่า PONDOK อ่านว่าปนโด๊ะบ้าง พอนดอกบ้าง แปลว่า กระท่อม ที่พัก ซึ่งความหมายในปัจจุบัน คือ สำนักศึกษาเล่าเรียนวิชาการศาสนาอิสลาม ซึ่งหมายถึงทั้งที่พักและที่เรียน
สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ ฉบับทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) สงขลา ฉบับ พ.ศ.๒๕๒๙ เล่ม ๗ ระบุความเป็นมาว่า เชื่อกันว่าปอเนาะเกิดขึ้นในประเทศอียิปต์ แล้วแพร่มาสู่เอเชียที่ประเทศมาเลเซียก่อน ต่อมาจึงแพร่เข้าสู่เส้นทางใต้ของประเทศไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเริ่มที่ปัตตานีเป็นแห่งแรก แล้วขยายไปสู่ท้องถิ่นที่มีชาวไทยมุสลิมทั้งในภาคใต้และภาคกลาง
ระบบปอเนาะในหลายประเทศ เช่น ปากีสถาน อินเดีย แอฟริกา มีชื่อเรียกต่างกัน เช่น ปากีสถานเรียกว่า “บาดือรอซะ” เป็นชื่อที่เป็นทางการ แปลว่า ที่เรียน ส่วนปอเนาะเป็นชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการ
“ปอเนาะ” ถือเป็นสถานศึกษาเพื่อชุมชนแบบพึ่งตนเอง เกิดที่ปัตตานีเมื่อ ๒๐๐ ปีมาแล้ว โดยปอเนาะแรกคือ บืดนังดายอ ใกล้ๆ ตำบลสะนอ อำเภอยะรัง และปอเนาะซีเดะ อยู่ที่บ้านซีเดะ ตำบลกรือเซะ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี
เมื่อมีปอเนาะต้องมีผู้ศึกษาหรือนักเรียนปอเนาะ ซึ่งในอดีตนั้น คือบุคคลที่ออกเดินทางจากบ้านเพื่อมาศึกษาหาความรู้วิชาศาสนา และต้องพักที่ในปอเนาะด้วย บางคนถึงแม้บ้านจะอยู่ใกล้แต่ยังพักอาศัยอยู่ในปอเนาะ เพราะว่าเด็กปอเนาะนั้นนอกจากเรียนวิชาศาสนาแล้ว ยังต้องปฏิบัติตนตามหลักการปฏิบัติตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลามเช่นกัน เช่น การอ่านคัมภีร์อัลกุรอ่าน การละหมาดทั้งละหมาดฟัรดู และละหมาดสุนัต[2] จึงทำให้นักเรียนส่วนมากต้องการพักอาศัยอยู่ในปอเนาะมากกว่าเดินทางกลับไปบ้าน
ความเป็นมาและความสัมพันธ์ของโต๊ะครูกับปอเนาะ
โต๊ะครูมีบทบาทอย่างมากมายต่อสังคมสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และจังหวัดใกล้เคียงตลอดจนมุสลิมทั่วประเทศและต่างประเทศ ชาวมลายูมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยซึ่งเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด ต่างก็พากันส่งบุตรหลานของตนเข้ารับการศึกษาหลักศาสนาอิสลามในปอเนาะ ทั้งนี้เพราะเห็นว่าเป็นสถาบันแห่งเดียวที่จะสั่งสอนให้บุตรหลานของตนได้รับรู้บทบัญญัติของศาสนาเพื่อจะได้เป็นมุสลิมที่ดีต่อไป
การจัดตั้งปอเนาะของบรรดาโต๊ะครูขึ้นมาก็เพื่อสอนศาสนาอิสลามและดะวะฮฺ(การเชิญชวนและเผยแผ่ศาสนา)อิสลามแก่ชาวบ้านตลอดจนผู้คนต่างศาสนิก ทั้งนี้เพื่อตอบสนองคำสั่งสอนของท่านศาสดามูฮำหมัด ศ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวะสัลลัม ดังหะดิษบทหนึ่งที่ท่านศาสดาได้กล่าวไว้ว่า ความว่า “บุคคลใดได้เชิญชวนสู่สัจธรรม เขาผู้นั้นจะได้ผลบุญเทียบเท่าผลบุญของบุคคลที่ปฏิบัติสิ่งนั้นโดยไม่มีการขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย และบุคคลใดเชิญชวนสู่การหลงผิด เขาจะได้รับบาปเท่ากับบาปของผู้ปฏิบัติตามสิ่งนั้นโดยไม่มีการขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย” (รายงายโดยอิบนุมาญะฮฺ หมายเลขหะดิษ ๒๐๖)
และท่านกล่าวอีกว่า ความว่า “การศึกษาหาความรู้เป็นหน้าที่ของมุสลิม” (รายงายโดยอิบนุมาญะฮฺ หมายเลขหะดิษ ๒๒๔)
และมีอีกหะดิษหนึ่งที่ท่านศาสดาได้กล่าวถึงผลบุญที่เท่าเทียมระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนว่า ความว่า “ผู้รู้(ผู้สอน)และผู้เรียนมีส่วนร่วมในผลบุญ” (รายงายโดยอิบนุมาญะฮฺ หมายเลขหะดิษ ๒๒๘)
และมีอีกหะดิษหนึ่งที่ท่านศาสดาได้กล่าวเกี่ยวกับคนดีตามที่อัลลอฮฺทรงประสงค์ว่า ความว่า “บุคคลใดที่พระองค์อัลลอฮฺทรงประสงค์ให้เขาได้รับความดี พระองค์จะทรงทำให้บุคคลนั้นเข้าใจ(เรื่องราว)ศาสนา” (รายงายโดยอิบนุมาญะฮฺ หมายเลขหะดิษ ๗๑)
จากหะดิษ[3]ดังกล่าว บรรดาโต๊ะครูจึงมองเห็นความจำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบในการเผยแผ่ศาสนาเท่าที่ตนได้เรียนรู้ โดยเปิดสอนนักเรียนทั้งใกล้และไกลจากบ้านของตน ต่อมานักเรียนจำต้องปลูกกระท่อมรอบบ้านโต๊ะครูและเรียกกระท่อมเหล่านั้นว่า ปอนด็อก (Pondok) หรือปอเนาะ
ปอเนาะเป็นสถาบันการศึกษาของชาวมลายูมุสลิมก่อนที่จะมีโรงเรียนระดับประถมศึกษาของรัฐบาลในจังหวัดภาคใต้ ปอเนาะถูกจัดตั้งเพื่อสอนศาสนาให้แก่ชาวมลายูทั้งชายและหญิงโดยไม่มีการเรียกเก็บค่าใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อปฏิบัติตามคำสอนของท่านศาสดามูฮำหมัด ศ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวะสัลลัม ที่บังคับให้ผู้รู้ให้เผยแผ่ความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้ที่ยังไม่รู้ การเผยแผ่ความรู้แบบปอเนาะนั้นถือว่าใกล้เคียงกับวิธีการเผยแผ่ศาสนาของท่านศาสดามากที่สุด เพราะในปอเนาะจะมีบาลัยหรือมัสยิดเป็นที่ประกอบศาสนกิจและเป็นที่สอนหนังสือให้แก่ลูกศิษย์ เช่นเดียวกับสมัยของท่านศาสดาที่ใช้มัสยิดเป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนาและเป็นจุดศูนย์กลางในการเผยแผ่ศาสนาแก่บรรดาเศาะหะบะฮฺ ทั้งสมัยที่ท่านอาศัยอยู่ที่มักกะฮฺและมาดีนะฮฺ
การกำเนิดของปอเนาะไม่ได้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าเกิดขึ้นเมื่อใด บรรดาอุลามะฮฺเริ่มมีบทบาทเมื่อใด แต่ผลงานของบรรดาอุลามะฮฺเป็นที่ยอมรับกันไปจนทุกวันนี้ เท่าที่รู้และสามารถตกหลักฐานทางประวัติศาสตร์มาได้ที่เกี่ยวกับบทบาทของอุลามะฮฺปัตตานีคือ เริ่มแต่ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ หรืออาจจะก่อนหน้านั้นก็ได้ ในหนังสือ “Hikayat Patani” (เรื่องราวปัตตานี) ได้จารึกไว้ว่า กษัตริย์ปัตตานีชื่อ พญาตูนักปา (Phaya Tu Naqpa)หรือ รายาอินทรา ได้เข้ารับนับถืออิสลามด้วยการชักนำของท่านเชคสะอีด ซึ่งเป็นอุลามะฮฺคนหนึ่งมาจากปาสัย(ประเทศอินโดนีเซีย) หลังจากนั้นเป็นต้นมา ศาสนาอิสลามและบรรดาอุลามะฮฺเริ่มมีส่วนและมีบทบาทที่ปัตตานี ต่อมาหลังจากปัตตานีเป็นรัฐอิสลามอย่างเป็นทางการแล้ว ปัตตานีจึงกลายเป็นรัฐมลายูที่มีความเข้มแข็งและมีบทบาทสำคัญในการดะวะฮฺ(การเชิญชวนและเผยแผ่ศาสนา)อิสลามมลายูและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ อุลามะฮฺท่านหนึ่งชื่อ ฟากีฮฺ วันมูซอ บิน วันมูฮำหมัดซอลิฮฺ อัลละกีฮีย์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นคนแรกที่เปิดปอเนาะที่ปัตตานี ณ หมู่บ้านสะนอ เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์นี้เกิดขึ้นประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ ต่อมาในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ วันหุเสน สะนอวีย์ (ซึ่งเป็นหลานของฟากีฮฺวันมูซา) ที่ย้ายจากหมู่บ้านสะนอไปยังตะโล๊ะมาเนาะ(ตั้งอยู่ในอำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส) ได้สร้างมัสยิดอันเก่าแก่ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “มัสยิด วาดีอัลหุเสน” (Masjid Wadi al-Husin) มัสยิดนี้ไม่ได้ใช้เฉพาะเป็นที่ละหมาด หากแต่มันเป็นสถาบันการศึกษาแบบปอเนาะแห่งเดียวอีกด้วย บรรดาอุลามะฮฺจากหมู่บ้านสะนอและหมู่บ้านตะโล๊ะบาเนาะรวมทั้งนักเชิญชวนเชื้อสายหัตรอเมาตฺ(ที่มาทำการค้าขายที่ปัตตานี) ได้ผลิตกลุ่มอุลามะฮฺผู้ทรงคุณวุฒิอีกมากมายในปลายคริสต์สตวรรษที่ ๑๗ และมรดกทางด้านความรู้ได้สืบทอดมาในคริสต์ศตวรรษต่อๆมา อย่างไรก็ตาม บรรดาอุลามะฮฺสามารถรักษาความสง่างามของความรู้ทางด้านศาสนาไว้ได้ และยังเป็นที่ปรึกษาให้แก่สังคมมุสลิมอีกด้วย ส่วนปอเนาะหรือสถาบันการศึกษาก็ทวีมากขึ้นเรื่อยๆ ตามอัตราการเพิ่มของอุลามะฮฺนั่นเอง (Mahmad Fathi, ๒๐๐๑: ๑๖)
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ กระทรวงศึกษาธิการได้วางโครงการพัฒนาการศึกษาโดยแบ่งการศึกษาออกเป็นภาคการศึกษาต่างๆ ภาคการศึกษา ๒ ได้การพิจารณาถึงการจัดการศึกษาในรูปแบบของปอเนาะ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงการศึกษาการสอนของโรงเรียนปอเนาะให้ดีขึ้น ให้มีชั้นเรียน สอนภาษาไทย สอนวิชาชีพ มีการประเมินผล ปรับปรุงบริเวณอาคารและสถานที่ และให้โรงเรียนปอเนาะมีความพร้อมจดทะเบียนขึ้เป็นโรงเรียนราษฏ์สอนศษสนาอิสลาม มีการเรียนการสอนวิชาสามัญคบคู่ไปกับการสอนศาสนาอิสลาม แต่ปรากฎว่าโรงเรียนส่วนใหญ่ยังคงสภาพที่ไม่น่าพอใจ(นุกู ชูนุ้ย, ๒๕๔๐: ๑) อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังๆนี้ ปอเนาะส่วนใหญ่จะสอนสองระบบคือ ระบบศาสนาและระบบสามัญ ที่เรียกว่า โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ตามรายงานสถิติการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ปีการศึกษา ๒๕๓๒ ได้ระบุว่า โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้มี ๔๐๕ แห่ง แบ่งเป็น ๙๒ แห่งในจังหวัดยะลา ๕๙ แห่งในจังหวัดนราธิวาส ๑๔๕ แห่งในจังหวัดปัตตานี ๑๖ แห่งในจังหวัดสตูล และ ๙๓ แห่งในจังหวัดสงขลา (ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้, ๒๕๓ ๖: ๑๒)
ระบบของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาที่ปรากฏเห็นได้ชัดก็ต่างจากการสอนแบบเก่าในหลายด้าน เช่น มีชั้นเรียน มีค่าเทอม และปิดเทอมตามกฎระเบียบทั่วไป อำนาจของโต๊ะครูลดลงโดยที่บางแห่งโต๊ะครูเกือบไม่มีบทบาทเลยนอกจากเป็นเจ้าของโรงเรียนและสอนกีตาบเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน ในขณะที่ปอเนาะยังคงใช้ระบบการเรียนแบบเก่าซึ่งมีไม่กี่แห่ง เช่น ปอเนาะบาบอเยะห์ (ตั้งอยู่ที่อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี) ปอเนาะบาบอเลาะฮฺซาเราะฮฺ (ตั้งอยู่ที่อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี) ปอเนาะดาลอ(ตั้งอยู่ที่อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี) ปอเนาะบาบอเซะ (ตั้งอยู่ที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี) เป็นต้น โต๊ะครูที่เป็นเจ้าของปอเนาะดังกล่าวบางคนได้เสียชีวิตไปแล้ว และบางแห่งโต๊ะครูไม่สามารถสอนได้เพราะชรามากและบางแห่งโต๊ะครูสามารถดำรงตำแหน่งได้ แต่ไม่ได้รับความศรัทธาจากชาวบ้านเหมือนโต๊ะครสมัยก่อน ตลอดจนชาวบ้านบางคนกลับไม่เห็นคุณค่าของโต๊ะครูและปอเนาะแบบเกาะ และยังกล่าวว่าโต๊ะครูเป็นคนหัวโบราณไม่ทันสมัย ทั้งๆที่โต๊ะครูในสมัยก่อนเป็นเสมือนหัวใจของชาวบ้าน และเป็นที่พักพิงแก่คนที่มีปัญหา ตลอดจนให้ความช่วยเหลือต่างๆแก่ชาวบ้าน ในทางกลับกันชาวบ้านก็ได้ช่วยโต๊ะครูทั้งทางด้านพลังกายและทรัพย์สินในเมื่อโต๊ะครูมีความจำเป็น
ถ้าย้อนกลับมาดูสถานภาพของโต๊ะครูสมัยก่อนจะเห็นได้ว่าโต๊ะครูมีบทบาทต่อสังคมอย่างมาก โต๊ะครูในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัว หัวหน้าลูกศิษย์ และหัวหน้าของชาวบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการประกอบพิธีทางศาสนา(อิบาดะฮฺ) และการทำพิธีต่างๆ เช่น พิธีตะห์นีกและตั้งชื่อลูก พิธีเข้าสุนัต พิธีแต่งงาน ละหมาดหะญาด ในโอกาสต่างๆ การจัดการเกี่ยวกับศพ เป็นต้น โต๊ะครูจะถูกเชิญไปร่วมในโอกาสดังกล่าวเพื่อช่วยจัดการและขอพรให้แก่เจ้าของบ้าน ส่วนเจ้าของบ้านหวังความเป้นศิริมงค(บารอกัต)จาการเข้าร่วมของโต๊ะครูในงานนั้นๆ และจะไม่พอใจหากทำพิธีโดยที่ไม่มีโต๊ะครูเข้าร่วมด้วย
ในสมัยที่การแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้า ชาวบ้านนิยมรักษาผู้ป่วยด้วยหมอแผนโบราณโดยใช้สมุนไพรและวิธีการปัดเป่าตามความเชื่อของพวกเขา สำหรับโต๊ะครูบางคนก็มีความสามารถในการรักษาผู้ป่าวด้วยการปัดเป่าโดยการอ่านอัลกุรอานหรือดุอาอฺจากท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวะสัลลัม ตามที่ปรากฏในหะดิษต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการรักษาผู้ป่วยและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันตัวเป็นพิเศษ นอกจากนั้นั้นโต๊ะครูจะมีเวลาบริการให้คำปรึกษาแก่ชาวบ้าน ตลอดจนทำหน้าที่แบ่งมรดกให้แก่ครอบครัวที่ไม่สามารถออมชอบกันได้ระหว่างพี่น้องแทนอีหม่าม หรือทำหน้าที่แบ่งมรดกพร้อมกับโต๊ะอีหม่าม และโต๊ะครูส่วนใหญ่มีอำนาจมากกว่าผู้นำทางศาสนาและผู้นำทางด้านสังคม เช่น โต๊ะอีหม่าม คอติบ บิลาล ผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น อันแสดงให้เป็นว่า โต๊ะครูนั้นเป็นปูชนียปการอันใหญ่หลวงต่อชาวบ้านและสังคมตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเสียชีวิต ซึ่งชาวบ้านไม่สามารถขาดโต๊ะครูได้
หน้าที่และความสำคัญของโต๊ะครู
มุสลิมทุกคนมีหน้าที่ที่จำเป็นต้องปฏิบัติตามความรู้และความสามารถของตนอย่างดีที่สุด โต๊ะครูซึ่งเป็นผู้รู้ทางด้านศาสนาจึงจำเป็นต้องทำหน้าที่ต่างๆ มากกว่าสามัญชนทั่วไป หน้าที่หลักของโต๊ะครูคือถ่ายทอดความรู้ให้แก่คนทั่วไป เชิญชวนสู่สัจธรรม เป็นที่ปรึกษาแก่ผู้คนทั่วไป เป็นต้น ในอัลกุรอานมีหลายอายะฮฺ(โองการ)ที่กล่าวถึงเรื่องนี้ ดังดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานาวะตาอาลา ที่ตรัสไว้ว่า ความว่า “จงตักเตือนเถิด เพราะแท้จริงการตักเตือนนั้นจะให้ประโยชน์แก่บรรดาผู้ศรัทธา” (ซูเราะฮฺ อัซซาริยาตฺ อายะฮฺที่ ๕๕)
ผู้ที่ให้คำตักเตือนและให้คำปรึกษาแก่ผู้อื่นนั้นจำเป็นต้องเป็นผู้รู้ในเรื่องนั้นๆ ดังนั้น อายะฮฺนี้ได้ใช้ให้ผู้รู้ทำหน้าที่ตักเตือนผู้ที่ไม่มีความรู้ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย และอัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า ความว่า “จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของสูเจ้าโดยวิทยปัญญาและการตักเตือนที่ดี (ซูเราะฮฺอันมนาหุลุ อายะฮฺที่ ๑๒๕)
อายะฮฺนี้ก็ใช้ให้ผู้รู้เรียกร้องสู่สัจธรรม และเรียกร้องให้ตักเตือนซึ่งกันและกันอันเป็นหน้าที่ของผู้รู้ทั้งหลายที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
นอกจากนั้นอัลลอฮฺได้เชิญชวนผู้ศรัทธาทั้งหลายให้ทำการอพยพและต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺด้วยทรัพย์สมบัติและชีวิต ดังคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า ความว่า “บรรดาผู้ศรัทธาและอพยพและต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺทั้งด้วยทรัพย์สมบัติของพวกเขาและชีวิตของพวกเขานั้นย่อมเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่า ณ ที่อัลลอฮฺ (ซูเราะฮฺอัลเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ ๒๐)
กระบวนการแสวงหาความรู้ซึ่งครอบคลุมการเรียนการสอนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ ดังหะดิษบทหนึ่งท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวะสัลลัม กล่าวไว้ว่า ความว่า “ผู้ใดออกจากบ้านเพื่อแสวงหาความรู้ บุคคลเหล่านั้นจะอยู่ในหนทางของอัลลอฮฺจนเขากลับบ้าน” (รายงานโดยอัลตัรมีซีย์ หะดิษหมายเลข ๒๖๕๖)
ท่านศาสดามูฮำหมัดก็ได้ตระหนักต่อการเรียนหนังสือแก่มุสลิมทุกคน และได้สั่งให้ผู้รู้ทำการสอนหนังสือให้แก่ผู้ไม่รู้ ตลอดจนสัญญาผลบุญต่อผู้ทำการเชิญชวนสู่สัจธรรม ในหลายหะดิษท่านศาสดาได้กล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่น ความว่า “การศึกษาหาความรู้เป็นหน้าที่ของมุสลิม” (รายงานโดยอิบนุมาญะฮฺ หมายเลขหะดิษ ๒๒๔)
นอกจากให้มุสลิมเรียนหนังสือแล้ว ท่านศาสดายังสั่งให้สอนผู้ยังไม่รู้อีกด้วย ดังคำกล่าวของท่านว่า ความว่า “จงเผยแผ่(อัลกุรอานและอัลหะดิษ)ถึงแม้ว่าประโยคเดียว” (รายงานโดยบุคอรีย์ หมายเลขหะดิษ ๓๔๖๑)
ความว่า “…ผู้ที่มาที่นี่จงเผยแผ่ให้แก่ผู้ที่ไม่มา…” (รายงานโดยอัลบุคอรีย์ หะดิษหมายเลข ๑๐๔)
ยิ่งไปกว่านนั้นท่านศาสดายังสัญญาผลบุญแก่ผู้เผยแผ่ศาสนาให้แก่ผู้อื่น ท่านกล่าวไว้ว่า ความว่า “บุคคลใดได้เชิญชวนสู่สัจธรรม เขาผู้นั้นจะได้ผลบุญเทียบเท่าผลบุญของบุคคลที่ปฏิบัติสิ่งนั้นโดยไม่มีการขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย และบุคคลใดเชิญชวนสู่การหลงผิด เขาจะได้รับบาปเท่ากับบาปของผู้ปฏิบัติตามสิ่งนั้นโดยไม่มีการขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย” (รายงายโดยอิบนุมาญะฮฺ หมายเลขหะดิษ ๒๐๖)
นอกจากนี้ท่านศาสดาได้กล่าวเกี่ยวกับคนดีตามที่อัลลอฮฺทรงประสงค์ว่า “บุคคลใดที่พระองค์อัลลอฮฺทรงประสงค์ให้เขาได้รับความดี พระองค์จะทรงทำให้บุคลนั้นเข้าใจ(เรื่องราว)ศาสนา” (รายงายโดยอิบนุมาญะฮฺ หมายเลขหะดิษ ๗๑)
และท่านได้สัญญาแก่ผู้ที่เดินทางเพื่อแสวงหาความรู้นั้นด้วยการที่อัลลอฮฺจะประทานความสะดวกในการสู่สวนสวรสวรรค์ว่า ความว่า“บุคคลใดเดินทางเพื่อแสวงหาความรู้ พระองค์อัลลอฮฺจะทรงทำให้ง่ายแก่เขาซึ่งหนทางสู่สวนสวรรค์” (รายงานโดยบุคอรีย์ โดยตะลึก(ไม่ระบุสายรายงาน) หน้า ๑๐)
จากหะดิษดังกล่าวข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การเรียนนั้นเป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคน สำหรับการสอนนั้นเป็นหน้าที่ของผู้รู้อย่างเดียว และการทำหน้าที่สอนหนังสือไม่เฉพาะเป็นหน้าที่ที่จำเป็นต้องทำ หากแต่ได้รับผลบุญจากพระองค์อัลลอฮฺต่างหาก
โต๊ะครูถือได้ว่าเป็นปูชนียบุคคลผู้ทรงอิทธิพลต่อชุมชนและสังคมอย่างมากมาย การพัฒนาชีวิตของคนในสังคมสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อมีโต๊ะครูมาชี้นำการศึกษาซึ่งมาจากคนในชุมชนที่เป็นดั่งนักปราชญ์ นักพัฒนาสังคม ชีวิตของคนในชุมชนจึงเกิดการพัฒนาในทิศทางที่ถูกต้องเป็นไปตามบริบทของชุมชน สังคมจึงได้อยู่กันอย่างสงบสุข ซึ่งในส่วนนี้เรามารู้จักโต๊ะครูผู้ทรงเกียรติท่านหนึ่ง ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาชีวิต พัฒนาการศึกษาในรูปแบบอิสลาม และท่านยังเป็นแบบอย่างแม่พิมพ์ของโต๊ะครูรุ่นต่อๆมา นั่นก็คือ โต๊ะครูดาลอ (๑๘๙๘–๑๙๗๕) ท่านคือหนึ่งในโต๊ะครูผู้ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์การศึกษาในอิสลาม
โต๊ะครูดาลอ มีชื่อว่า หะญีอับดุลเราะห์มาน บิน มุหัมมัดอิรชาด บิดาของท่านชื่อว่า มุหัมมัดอิรชาด เป็นโต๊ะครูสอนศาสนา ส่วนมารดาชื่อ แมะปูเต๊ะ เดิมมาจากบ้านสาบัน ส่วนปู่ของท่านชื่อว่า อับดุลฆอนี กล่าวกันว่าอพยพมาจากตรังกานู (ประเทศมาเลเซียในปัจจุบัน) ท่านเกิดที่บ้านโต๊ะบีดัน ดาลอ อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ในปี ค.ศ. ๑๘๙๘
โต๊ะครูดาลอเป็นลูกคนแรก โดยมีพี่น้องทั้งหมด ๕ คน ส่วนพี่น้องของท่านคือ หัจญีอับดุลสอมัด หัจญีมุหัมมัด หะบีบะฮ์ และอิดรีส
โต๊ะครูดาลอได้รับการศึกษาเบื้องต้นจากบิดาของท่านเอง จากนั้นศึกษาต่อกับโต๊ะครูหะญีอิดรีส (ปะจูเยะห์) บ้านโต๊ะราญอ หะญี ยามู หลังจากจบจากปอเนาะดังกล่าวแล้ว จึงเดินทางศึกษาต่อที่นครมักกะห์ โต๊ะครูของท่านได้แก่ เช็ควันดาวูด บิน วันมุสตอฟา เช็ควันอิสมาแอล บิน วันอับดุลกอดีร์ (ปะดอแอ) เป็นต้น ไม่มีแหล่งบ่งบอกชัดเจนว่าท่านอยู่ที่นครมักกะห์นานเท่าใด และกลับมาปัตตานีเมื่ออายุเท่าใด
บางท่านเล่าว่า ขณะที่ท่านเดินทางกลับปัตตานีท่านมีอายุราว ๆ ๔๐ ปี
หลังจากโต๊ะครูดาลอ กลับมาปัตตานีท่านจึงเข้าสู่พิธีแต่งงาน ภรรยาคนที่หนึ่งชื่อว่า ซาเราะฮ์ บินติ หัจญีอิดรีส เป็นธิดาของหัจญีอิดรีส อับดุลการีม อาจารย์ของท่านขณะอยู่ที่นครมักกะฮ์ ส่วนสถานที่ที่ท่านเข้าสู่พิธีแต่งงานคือ บ้านตะโล๊ะกาโปร์ ยะหริ่ง
โต๊ะครูดาลอเริ่มเปิดการเรียนแบบปอเนาะตอนที่ท่านได้เข้าสู่พิธีแต่งงาน ท่านได้สร้างที่อยู่อาศัยและปอเนาะดาลอแล้ว บางครั้งเป็นที่รู้จักในนามปอเนาะจืองา บูลู หลังจากแต่งงานเสร็จ ท่านจึงย้ายไปอยู่ที่ดาลอ ตั้งแต่บัดนั้น ท่านจึงทุ่มเทแรงกายแรงใจบนเส้นทางที่ท่านเลือกไว้ นั่นคือ การเป็นโต๊ะครูปอเนาะ
ตำราที่ท่านมักใช้สอนนักเรียนได้แก่ ดุสุกีย์ และกิฟายะตุลอุลูม ในสาขาวิชาฟิกฮ์ ได้แก่ ตะห์รีม ฟัตหุลเกาะรีบ, ฟัตหุล มุอีน, อัลบาญูรีย์, ฟัตหุล วะหาบ และอัลอิกนาอ์ ในสาขาวิชาตะเซาวุฟ ท่านสอนกิตาบ มินฮาจญ์ อัลอาบิดีน, หิกาม อิบนุ อะเตาะอ์ นอกจากนั้นท่านยังได้สอนตัฟซีรญะลาลัยน์ และตำราหะดีษอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง
ส่วนตำราอื่น ๆ ที่ถือว่าท่านมีความชำนาญในสาขาวิชานะห์วุ และศอร็อฟ กล่าวคือ มุตัมมิมะฮ์, อัลฟิยะฮ์, มะตัน อัจญ์รูมิยะฮ์, และอิบนุ อากิล นอกจากนั้นท่านได้สอนกิตาบยาวีที่เขียนโดยอุละมาอ์ปัตตานี อันได้แก่ บุฆยาต อัลตุลลาบ, ฟารีดะฮ์ อัล ฟารออิด, อะกีดะฮ์ อัลนาญีน, กัชฟ์ อัลลิซาน อื่นๆ เป็นต้น
บุคลิกส่วนตัวของโต๊ะครูดาลอ เป็นโต๊ะครูที่มีความถ่อมตน (วาเราะอ์) ชอบประกอบอิบาดะฮ์ ลูกศิษย์ของท่านจำนวนหลายคนประสบผลสำเร็จในการเรียนและมีชื่อเสียงในเวลาต่อมา ท่านเป็นโต๊ะครูที่มีความเคร่งครัดในหลักคำสอนของศาสนามาก เช่น ให้ความสำคัญในเรื่องการสวมใส่หิญาบของเหล่าสตรีมาก หรือมีการกั้นม่ามระหว่างสตรีกับชาย เป็นต้น
มีการบอกเล่ากันว่า ครั้งหนึ่ง หัจญีหุเซ็น เจ๊ะโด จากเคดาห์ ได้มาเยือนปอเนาะของท่าน พอดีภรรยาของโต๊ะครูดาลอนั้นเป็นญาติสนิทกับหัจญีหุเซ็น แต่หลังจากที่หล่อนได้แต่งงานกับโต๊ะดาลอแล้ว ท่านไม่มีโอกาสที่จะเห็นหน้าภรรยาของท่านได้เลย เว้นแต่เพียงพูดจาสนทนากันหลังม่านเท่านั้น ทั้งนี้ เพราะท่านถือว่าระหว่างภรรยาของท่านกับหัจญีหุเซ็นนั้นในทางหลักศาสนาแล้วไม่ได้เป็นมะห์รอม
นอกเหนือจากที่ได้กล่าวมา บุคลิกส่วนตัวของท่านยังมีอีกหลายประการ เช่นท่านเป็นคนที่ชอบขี่ม้า เวลาเดินทางไปไหนมาไหนที่มีระยะทางไม่ไกลนัก ท่านมักจะใช้ม้าเป็นพาหนะ นอกจากนั้น ท่านยังมีฝีเท้าวิ่งที่เร็ว ปกติแล้วเด็กปอเนาะที่หนีเรียนมักจะหนีไม่พ้นมือท่านได้ ท่านเป็นโต๊ะครูที่มักใส่ยูเบาะฮ์(เครื่องแต่งกายที่เป็นชุดยาว)สีขาวเป็นประจำ ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้าน หรือเวลาท่านออกไปข้างนอกเพื่อธุระใด ๆ ก็ตามโต๊ะครูดาลอเป็นคนที่พูดน้อย แต่เวลาท่านพูดแล้ว มักจะพูดด้วยความระมัดระวัง และเวลาพูดสีหน้าของท่านมีความสดใสเบิกบาน ท่านเป็นคนที่ระมัดระวังจากสิ่งที่ชุบฮาต(ความครุมเครือ) ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงเป็นโต๊ะะครูที่ไม่สูบบุหรี่ และห้ามนักเรียนของท่านจากการสูบบุหรรี่อย่างเด็ดขาด ลูกศิษย์ของโต๊ะครูดาลอ มักจะเห็นท่านร้องไห้เวลาสอนกิตาบ เมื่อใดที่เนื้อหาของกิตาบกล่าวถึงการทรมานจากอัลลอฮฺ และท่านมักจะละหมาดในตอนกลางคืนเป็นประจำ รวมทั้งเน้นหนักให้นักเรียนมีการละหมาดเป็นญะมาอะฮฺ(ละหมาดรวมกัน)
ศานุศิษย์ของท่านจำนวนมากมาย ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นผู้รู้และเปิดปอเนาะสืบต่อจากท่าน ในที่นี้ขอกล่าวเพียงบางท่านเท่านั้น ดังนี้
๑. หัจญีอับดุลกอดีร วาเงาะ (โต๊ะเดร์ สะกำ)
๒. หัจญีอับดุลหะมีด น้ำบ่อ
๓. หัจญีอับดุลเลาะ มัรบะวีย์ (ยะหา)
๔. หัจญีอับดุลเลาะ (บึนดัง บาดัง ยะรัง)
๕. หัจญีอิสมาอีล มัรบะวีย์ (ยะหา)
๖. หัจญีอับดุลหะมีด (ตลาฆอ สมีแล)
๗. หัจญียูซุฟ (ตันหยง ปาลัส)
โต๊ะครูดาลอเสียชีวิตในตอนเช้าวันพุธที่ ๒๘ เดือนรอญับ ค.ศ. ๑๙๗๕ หากเปรียบเทียบกับอุละมาอฺก่อนหน้า ถือได้ว่าท่านเป็นคนที่มีอายุยืนกว่าท่านอื่น ๆ ศพของท่านถูกฝังไว้หน้ามัดราซะห์ในบริเวณปอเนาะของท่านเอง
คำจำกัดความหรือนิยามของปอเนาะ มีการนำเสนอในหลายมุมมอง แต่ถ้าพูดถึงความหมายโดยรวม หรือความรู้สึกของพี่น้องมุสลิมแล้ว จะมีความเข้าใจ และความรู้สึกได้ในทิศทางเดียวกัน แต่สำหรับผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมหรือบุคคลโดยทั่วไปแล้ว อาจจะมีความเข้าใจไปได้หลายแง่มุม หรืออาจจะไม่รู้จักเลย แต่ที่แน่ๆ ความลึกซึ้งในความหมาย คงจะไม่มีอย่างแน่นอน
ปอเนาะ เป็นภาษามลายูตามสำเนียงของชาวไทยเชื้อสายมลายู ที่มีอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทย (สามจังหวัดชายแดนภาคใต้) ในประเทศมาเลเซียเรียกสถานบันลักษณะเช่นนี้ว่า Pondok ในอินโดนีเซียเรียกว่า Perantran ซึ่งทั้งหมดมาจากรากศัพท์ของภาษาอาหรับ คือ Pundook ซึ่งมีความหมายว่า ที่พักคนเดินทาง สำหรับความหมาย หรือความรู้สึกของผู้คนในแถบแหลมมลายู ซึ่งมีประชากรที่มีเชื้อสายมลายูอาศัยอยู่ประมาณ ๒๐๐ กว่าล้าน ทั้งในประเทศมาเลเซีย บรูไน สิงคโปร์ ไทย กัมพูชา ฟิลิปปินส์ จะมีความหมายถึง กระท่อม หรือ ที่พักเล็กๆ ที่ทุกคนจะมีจินตนาการเป็นภาพที่เหมือนกัน สำหรับการเรียนรู้ในลักษณะเดียวกับปอเนาะ สันนิษฐานว่ามีมาแล้วกว่า ๑๐๐๐ ปี และไม่ได้มีเฉพาะในย่านแหลมมลายูนี้เท่านั้น ในแถบอนุทวีปหรือเอเชียใต้ คือในประเทศอินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ ก็มีลักษณะการเรียนรู้แบบนี้ แต่จะถูกเรียกว่า มัดดารอซะฮฺ บ้าง หรือ ดารุ้ลอุลุม บ้าง ซึ่งมีเป็นหมื่นๆ แห่งเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าจะมีสถาบันที่ให้การศึกษาในลักษณะนี้อยู่ทุกแห่งที่มีมุสลิม มีการเรียนการสอนวิชาความรู้ในหลักการอิสลามที่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ผู้เรียนจะได้จะมีความแตกต่างกัน ตามวัฒนธรรมของแต่ละเขตพื้นที่ ดังนั้นถ้าจะสรุปให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของปอเนาะแบบดั้งเดิม ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ก็คงจะสามารถให้คำจำกัดความได้ว่า ปอเนาะ คือ สถานที่ซึ่งเป็นที่เรียนรู้ แนวทาง และ หลักการของศาสนาอิสลาม ตามวิถีของคนไทย เชื้อสายมลายู โดยยังคงยึดมันในวัฒนธรรม และประเพณีแบบดั้งเดิม (ถ้าขาดซึ่งปอเนาะแบบดั้งเดิม ในอนาคตวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของคนไทยเชื้อสายมลายู ก็จะสูญสิ้นไปด้วย เฉกเช่นกันกับที่เคยเกิดขึ้นกับหลายๆ ประเทศ รวมทั้งวิถีของพี่น้องชาวไทย ที่ได้สูญเสียวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมไปแล้ว) จากความหมายดังกล่าว อาจจะถูกมองว่าเป็นการจำกัดเฉพาะกลุ่มคนที่มีเชื้อสายมลายูกระนั้นหรือ ก็คงต้องสรุปว่าใช่ เพราะในภูมิภาคอื่นๆ จะเรียกกันในชื่ออื่นๆ ถึงแม้จำร่ำเรียน หลักการศาสนาอิสลาม เหมือนกัน แต่วิถีชีวิตก็จะมีความแตกต่างกัน (ไพซอล บินซำซุดดีน, ๒๕๕
ปอเนาะ แหล่งเรียนรู้อิสลาม
การศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะมีลักษณะพิเศษต่างไปจากการศึกษาในภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ ประชาชนในพื้นที่แห่งนี้ จะนิยมให้บุตรหลานของตนเองศึกษาทั้งวิชาการทางโลกและวิชาการศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาทางศาสนา เพราะการศึกษาเกี่ยวกับศาสนาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมุสลิมทุกคน ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงเกิดสถาบันการศึกษาศาสนาเป็นจำนวนมากในพื้นที่แห่งนี้ และสถาบันการศึกษาใดที่มีการจัดการเรียนการสอนทั้งวิชาการศาสนา และวิชาการสามัญจะได้รับความนิยมจากผู้คนในพื้นที่
สถาบันการศึกษาที่มีการสอนวิชาการศาสนา อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีหลายสถาบันเช่น มัสยิด โรงเรียนอนุบาลอิสลาม โรงเรียนประถมอิสลาม โรงเรียนตาดีกา ศูนย์พัฒนาเด็กประจำมัสยิด ปอเนาะ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม สถาบันอุดมศึกษา โรงเรียนประถม และมัธยมตลอดจนมหาวิทยาลัยของรัฐ สำหรับบทความส่วนนี้ จะขอนำเสนอเฉพาะปอเนาะซึ่งถือเป็นแหล่งเรียนรู้อิสลามศึกษา แหล่งแรกที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมบนพื้นฐานของศาสนามาอย่างยาวนานจวบจนปัจจุบัน (ศูนย์สารสนเทศอิสลาม)
วิวัฒนาการของปอเนาะ
ปอเนาะ มีรากศัพท์มาจากภาษาอาหรับคำว่า ” ฟุนดุก ” หมายถึงที่พัก โรงแรม (Munjid, ๑๙๗๖:๕๙๗) ส่วนคำว่าฟุนดุกมาจากรากศัพท์ภาษากรีโกอาราบิก (Creco-Arabic) คำว่า “Pandokein” หมายถึงที่พัก (Webster’s New International Dictionary: ๙๘๑ อ้างถึงใน Hasan, ๒๐๐๐:๕๙) สำหรับประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พวกเขาจะมีสำเนียงการพูด ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง กล่าวคือ การอ่านออกเสียงของพวกเขา โดยส่วนใหญ่แล้ว จะไม่ออกเสียงสะกดตัวสุดท้าย คำว่าฟุนดุก จึงกลายเป็น ” ฟุนุ ” ตัวสะกดพยางค์แรก และพยางค์ที่สองจะไม่ออกเสียง คำว่า “ฟุนุ” ต่อมาจึงเพี้ยนมาเป็น ” ปอเนาะ ” ในที่สุด
ปอเนาะ เป็นสถาบันศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และเป็นสถาบันศึกษาที่มีบทบาททั้งทางศาสนา และทางการศึกษา ( สุรินทร์ พิศสุวรรณ ,๑๙๘๒) มีข้อสันนิฐานว่าปอเนาะเกิดขึ้นในอียิปต์ แล้วแพร่มาสู่เอเชีย แท้ที่จริงแล้ว ปอเนาะวิวัฒนาการมาจากสถาบันศึกษาบ้านของผู้รู้และมัสยิด กล่าวคือ ในประวัติศาสตร์อิสลาม บ้านของผู้รู้ได้กลายเป็นสถาบันศึกษาที่สำคัญ บ้านอัรกอมในสมัยของท่านศาสดามูฮำหมัด ได้กลายเป็นสถาบันการศึกษาแรกที่มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์อิสลาม ในสมัยต่อมาบ้านของผู้รู้ได้กลายมาเป็นสถาบันการศึกษาที่สำคัญ วิวัฒนาการของปอเนาะได้วิวัฒนาการมาจากสถาบันศึกษาบ้านของผู้รู้ กล่าวคือเมื่อปรากฏมีผู้รู้ก็จะมีผู้คนมาเพื่อศึกษาหาความรู้จากผู้รู้คนนั้น และเพื่อ ความ สะดวกสำหรับพวกเขา พวกเขาก็จะสร้างที่พักชั่วคราวบริเวณใกล้ๆ กับบ้านของผู้รู้ ที่พักนี้จะถูกเรียกว่าปอเนาะ เมื่อสำเร็จการศึกษาที่พักดังกล่าวก็จะเป็นสมบัติของปอเนาะ เพื่อศิษย์รุ่นหลังจะได้ใช้ต่อไป หากมีผู้คนที่ต้องการแสวงหาความรู้จำนวนมาก ที่พักในบริเวณบ้านของผู้รู้ก็จะมีมากขึ้น และบ้านของผู้รู้ก็จะกลายเป็นศูนย์กลาง และนี้คือที่มาของวิวัฒนาการของปอเนาะ หากข้อสันนิฐานนี้เป็นจริง ปอเนาะไม่ได้เกิดครั้งแรกในอิยิปต์ แต่จะเกิดในประเทศซาอุดิอาราเบีย ข้อสันนิฐานนี้สอดคล้องกับข้อสันนิฐานของรุสนานี ฮาชิม (๑๙๙๖:๒๑) ที่ได้เขียนไว้หนังสือชื่อ Educational Dualism in Malaysia Implications for Theory and Practice.
วิธีการจัดการเรียนการสอนในปอเนาะนั้นมีลักษณะคล้ายกับการสอนแบบฮะละเกาะฮฺ[4] ที่มีสอนในมัสยิดนะบะวีและมัสยิดอื่นๆ ในดินแดนตะวันออกกลาง แต่ต้นแบบของปอเนาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้มาจากประเทศใดนั้นเป็นคำถามที่ยังคงต้องแสวงหาคำตอบ อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานพอที่จะสันนิฐานว่าต้นแบบปอเนาะนั้นมาจากประเทศเยเมน ด้วยเหตุผลที่ว่า ผู้ที่นำอิสลามมายังพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นชาวเยเมน และผู้ก่อตั้งปอเนาะแห่งแรกเมื่อ ๕๐๐ ปีก่อนเป็นชาวเยเมน (Muhammad Sagir, ๑๙๙๐:๒๓ อ้างถึงใน Abdulkadir Ahmad,๒๐๐๑:๓๑) นอกจากนี้ เมื่อย้อนกลับไปเมื่อ ๕๐๐ ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงฮิจญ์เราะฮฺที่ ๙ มีสถาบันการศึกษาเกิดขึ้นมากมาย ในดินแดนอาหรับซึ่งรวมถึงประเทศเยเมนในปัจจุบัน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ก่อตั้งปอเนาะแห่งแรกในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีโอกาสได้เห็นสถาบันการศึกษาที่จัดตั้งขึ้นในดินแดนอาหรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการศึกษาที่มีอยู่ในเยเมน ความจริงแล้วเมื่อฮิจญ์เราะฮที่ ๙ หรือ คริสตศตวรรษที่ ๑๑ ได้มีสถาบันการศึกษาเกิดขึ้นมากมายในดินแดนอาหรับ มัดระสะฮนิซอมมียะฮซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงในราวคริสตศตวรรษ ที่ ๑๐-๑๑ ได้รับการจัดตั้งขึ้นในดินแดนอาหรับ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากมัดระสะฮแห่งนี้จะเป็นต้นแบบของปอเนาะในจังหวัดชาย แดนภาคใต้ กล่าวได้ว่า ปอเนาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นก่อนปอเนาะในประเทศมาเลเซีย เพราะปอเนาะแห่งแรกของมาเลเซียก่อตั้งเมื่อคริสตศวรรษที่ ๑๙ (Khadijah Binti Zon,๑๙๘๘:๑๒๓) สำหรับการเรียนการสอนในปอเนาะนั้น ผู้เรียนไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนแต่จะต้องรับผิดชอบการอยู่กินของตนเอง รายที่ทางบ้านไม่ได้ส่งเสียก็อาจหารายได้อื่นจุนเจือหรือจากรายได้ที่สังคมบริจาค รายได้ของโต๊ะครูจะมาจากเงินบริจาคจากชุมชนหรืออาจมาจากผลผลิตทางการเกษตรของตนเอง
ปอเนาะแรกในจังหวัดชายแดนภาคใต้
จากการสำรวจของศูนย์พัฒนาการศึกษาจังหวัดยะลาในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ พบว่าปอเนาะที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่ก่อตั้งในปี พ.ศ. ๔๒๔๒ (ประกิจ, ๒๕๑๖:๖๑) ผลการสำรวจดังกล่าวไม่ได้ยืนยันให้เห็นว่าปอเนาะแห่งแรกในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อตั้งในปี พ.ศ. ๔๒๔๒ เพราะในปี ค. ศ. ๑๖๒๔ ได้มีปอเนาะเกิดขึ้นแล้วที่บริเวณตำบลตะโละมาเนาะ จังหวัดนราธิวาสในปัจจุบัน (Abdul Haleem,๑๙๙๔:๖๗) มุฮัมมัด เศาะฆีร ( อ้างใน Abdulkadir,๒๐๐๑: ๓๑) ได้บันทึกไว้ในหนังสือขอท่านว่า ปอเนาะแห่งแรกในจังหวัดชายแดนภาคใต้คือ ปอเนาะกัวลาบือเกาะ ที่ก่อตั้งโดยบุตรคนหนึ่งของ ชัยค อุสมาน ที่มาจากประเทศเยเมน ปอเนาะดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ ๕๐๐ ปีที่ผ่านมา ปอเนาะสะนอญันญาร ก็เป็นปอเนาะเก่าแก่อีกปอเนาะหนึ่ง ปอเนาะนี้ก่อตั้งโดยปังลีมาฟะกิฮ ลือบัย วันมูซอ ปอเนาะนี้ตั้งอยู่ในตำบลสะนอ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ปอเนาะนี้ได้รับการก่อตั้งราวปี ค .ศ. ๑๖๐๐ ( ลออแมน ,๒๕๔๐, ๒๙) ต่อมาในปี ค. ศ. ๑๘๑๗ ก็มีการก่อตั้ง ปอเนาะบันนังดายอ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี มีบางทัศนะกล่าวว่า ปอเนาะบันนังดายอนี้เองที่เป็นปอเนาะแรกที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วไม่ใช่ ( กองบรรณาธิการ , การเมือง , นสพ . ไทยโพสต์ , ฉบับที่ ๑๗ ก.พ. ๒๕๔๗: ๑)
________________________________________
[1] คัดลอกบางส่วนและเรียบเรียงจากนิตรยสารสารคดี ฉบับที่ ๒๒๓ เดือนกันยายน ๒๕๔๖ “ความจริง ความงาม ความดี ที่ปอเนาะ” โดยวีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง เรื่องและวิจิตต์ แซ่เฮ้ง
[2]การละหมาดฟัรดู คือการละหมาด 5 เวลาที่มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติ หากละเลยถือว่าบาป ส่วนละหมาดสุนัตนั้นคือ การละหมาดนอกเหนือจากละหมาด 5 เวลา หากบุคคลใดปฏิบัติจะได้รับผลบุญตอบแทน หากไม่ปฏิบัติถือว่าไม่บาป และไม่ได้บุญ
[3] หะดีษ บ้างก็สะกด ฮะดีษ, หาดีษ, ฮาดีษ (ภาษาอาหรับ: الحديث /อัลฮะดีษ/) แปลว่าคำพูด หรือใหม่ ตามทัศนะซุนนีย์หมายถึงคำพูด การกระทำ และการยอมรับของท่านศาสดามูฮำหมัด
[4]ฮะละเกาะฮฺ คือกลุ่มศึกษา ผู้เรียนจะนั่งเป็นวงกลมโดยมีโต๊ะครูเป็นผู้เทศนาหรือสั่งสอน